Wednesday 1 October 2008

คาวาซากิ

คาวาซากิ (Kawasaki disease) โรคนี้มาจากไหน

คาวาซากิ (Kawasaki disease)คือกลุ่มอาการของโรคที่ประกอบด้วยไข้สูง มีการเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง และเยื่อบุผิว และต่อมน้ำเหลืองที่คอโตโรคนี้นับวันจะพบมากขึ้นเรื่อย ๆ ในประเทศไทย

การให้การวิเคราะห์โรคแต่เนิ่น ๆ โดยเฉพาะภายใน 5-7 วันของโรคซึ่งมีความสำคัญมาก เพื่อรีบให้การรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นที่หัวใจ และหลอดเลือด และเมื่อเป็นโรคนี้แล้ว ก็ควรได้รับการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องจนผู้ป่วยหายจากโรค และปลอดภัย

สาเหตุ : ยังไม่ทราบ
เพศ : พบได้ทั้งสองเพศ แต่พบในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง
อายุ : พบในเด็ก โดยเฉพาะอายุน้อยกว่า 8 ปี พบบ่อยในช่วงอายุ 1-2 ปี

อาการ และอาการแสดงของโรค
1. ไข้ ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ถ้าไม่ได้รับการรักษาสูงนานประมาณ 1-2 สัปดาห์ บางรายอาจนาน 3-4 สัปดาห์
2. ตาแดง ตาขาวจะแดง 2 ข้าง ไม่มีขี้ตา และเป็นหลังมีไข้ประมาณ 1-2 วัน และเป็นอยู่นานประมาณ 1-2 สัปดาห์
3. มีการเปลี่ยนแปลงของริมฝีปากและช่องปาก จะมีริมฝีปากแห้งแดง และผิวหนังอาจแตกแห้งหลุดลอกได้ ภายในอุ้งปากจะแดง และลิ้นจะแดงคล้ายลูกสตรอเบอร์รี่ (Strawbery tongue)
4. มีการเปลี่ยนแปลงที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า โดยจะบวมแดง ไม่เจ็บ หลังจากนั้นจะมีการลอกของผิวหนังบริเวณปลายนิ้วมือ และนิ้วเท้า (ประมาณ 10-20 วันหลังมีไข้) และลามไปที่ฝ่ามือฝ่าเท้า บางรายเล็บอาจหลุดได้ หลังจากนั้นบางราย 1-2 เดือนจะมีรอยขวางที่เล็บ (Beau's line)
5. ผื่นตามตัวและแขนขา มักเกิดหลังมีไข้ 1-2 วัน และมีได้หลายแบบ และผื่นอยู่นาน 1-2 สัปดาห์
6. ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต พบประมาณร้อยละ 50-70 ของผู้ป่วย ขนาดโตกว่า 1.5 ซ.ม. ไม่เจ็บ
7. อาการแสดงอื่น ๆ ที่อาจเกิดร่วมด้วย ได้แก่ ปวดตามข้อ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ กระเพาะปัสสาวะอักเสบแบบไม่ติดเชื้อ ท้องเสีย เป็นต้น

ปัญหาสำคัญของโรคนี้ คือ เกิดโรคแทรกซ้อนที่หัวใจ และหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ (Coronary Artery) พบประมาณร้อยละ 20-30 ถ้าไม่ได้รับการรักษา
โรคแทรกซ้อน ที่หัวใจ และหลอดเลือด ได้แก่ เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ลิ้นหัวใจอักเสบ ทำให้ลิ้นหัวใจรั่ว และหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ (Coronary Artery) อักเสบเกิดเป็นหลอดเลือดแดงโป่งพอง (Aneurysm) ซึ่งอาจเกิดที่หลอดเลือดเส้นเดียว ตำแหน่งเดียว หรือเกิดหลายเส้นเลือด และหลายตำแหน่งก็ได้ โดยพบความผิดปกติดังกล่าวได้ในช่วง 10-28 วันของโรค ถ้าเกิดโรคแทรกซ้อนมาก และรุนแรง อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ (ประมาณร้อยละ 1-2)

การวินิจฉัย
อาศัยประวัติ และการตรวจร่างกายพบความผิดปกติดังกล่าวร่วมกับการวิเคราะห์แยกโรคจากสาเหตุอื่น ร่วมกับการตรวจเลือดการทำคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ภายรังสีทรวงอก ก็สามารถให้การวิเคราะห์โรคนี้ได้ภายใน 4-6 วันของโรค หลังจากนั้นทำ Echocardiogram เพื่อตรวจดูว่ามีโรคแทรกซ้อนที่หัวใจ และหลอดเลือดหรือไม่
การรักษา
เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุ แต่พบว่าเมื่อให้ Immunoglobulin ขนาดสูง (2 กรัม/กก. หรือ 400 มก./กก./วัน นาน 4 วัน) ร่วมกับแอสไพริน โดยให้ก่อนวันที่ 9 ของโรคจะสามารถลดอุบัติการ และความรุนแรงของโรคแทรกซ้อนที่หัวใจลงได้

ถ้าผู้ป่วยมีโรคแทรกซ้อนที่หัวใจมีเส้นเลือดแดงโป่งพอง จะต้องทานแอสไพรินขนาดต่ำ (3-5 มก./กก./วัน) วันละครั้งจนกว่าจะหาย ในรายเป็นมากมีเส้นเลือดโป่งพองขนาดใหญ่กว่า 8 ม.ม. บางรายอาจเกิดก้อนเลือดที่บริเวณหลอดเลือดโป่งพองได้ ต้องให้ยากันแข็งตัวของเลือดร่วมด้วยกับแอสไพรินขนาดต่ำจนกว่าจะปลอดภัย หรือขนาดของเส้นเลือดโป่งพองกลับสู่ปกติ

การพยากรณ์โรค และการดำเนินโรค
โดยมากผู้ป่วยหายได้เป็นปกติหลังได้รับยารักษา สามารถเล่นและทำกิจกรรมเหมือนเด็กปกติทั่วไป มีเพียง 5-7% ที่มีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนที่หัวใจ มีเส้นเลือดโป่งพอง ซึ่งมีน้อยรายที่เส้นเลือดโป่งพอง มีขนาดเกิน 8 มม. ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้มีโอกาสที่จะเสียชีวิตได้ จึงควรให้รับการรักษาดูแลอย่างต่อเนื่องจากแพทย์ รวมทั้งบางรายอาจต้องทำ exercise test และการสวนหัวใจ เพื่อวางแผนกทางการรักษาต่อเนื่องได้อย่างถูกต้อง

ที่มา : แผ่นพับบริษัท ส.เจริญเภสัชเทรดดิ้ง จำกัด

Thursday 18 September 2008

ประจำเดือน ภาคต่อ

หมอจีนรู้อะไรจากประจำเดือน
ร่างกายของผู้หญิงมีข้อมูลที่ช่วยให้รับรู้การทำงานของตับไตไส้พุง ได้ชัดเจนกว่าผู้ชาย ซึ่งจะง่ายต่อการวินิจฉัยและรักษาอย่างมาก และนั่นก็คือ ประจำเดือน นี่เองผู้หญิงมีความสัมพันธ์กับเลือดมาก เพราะต่างก็เป็นธาตุหยิน ( ธาตุเย็น) ทั้งคู่


ขณะเดียวกันพื้นฐานร่างกายของผู้หญิงก็มีความสัมพันธ์อวัยวะตับในทางแพทย์จีนอย่างแน่นแฟ้นเพราะ

1. ตับเป็นอวัยวะที่กักเก็บเลือดไว้ ก่อนจะปล่อยไปให้อวัยวะอื่นๆใช้งาน
2. เส้นลมปราณตับเดินผ่านอวัยวะเพศ และหน้าอก
3. ตับเป็นตัวควบคุมการเดินของลมปราณในร่างกายให้คล่องตัว รวมไปถึงอารมณ์ต่างๆด้วย เมื่อทำความเข้าใจตรงนี้ได้แล้วต่อไปก็จะอ่านเข้าใจได้ง่ายกว่าเดิม

สีของเลือดประจำเดือน

สีแดงเข้ม
มักจะเป็นคนที่ร้อนใน คิดสภาพว่าไฟมันร้อนเลือดเลยสีเข้ม เหนียวข้น
คุณมักจะหิวน้ำ ท้องผูก หงุดหงิดง่าย
สีแดงซีด
คือคนที่ขาดเลือดครับ ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นโรคโลหิตจางนะ ไปตรวจปริมาณเม็ดเลือดอาจจะยังปกติไม่มีปัญหา คุณมักจะเป็นคนไม่มีแรงครับ หน้าซีด เล็บซีด ปากซีด เวียนศีรษะ หลงลืมง่าย นอนไม่หลับ
สีแดงคล้ำ คือคนที่มีเลือดคั่งอยู่ข้างใน ส่วนใหญ่ประจำเดือนสีนี้มักจะมีลิ่มเลือดออกมาด้วยเสมอ สีประจำเดือนแบบนี้เกิดได้หลายสาเหตุ
คุณอาจจะเป็นคนขี้หนาว หรืออยู่ในห้องเย็นๆเป็นประจำ หรืออาจจะเป็นคนที่เครียดมาก เครียดบ่อย

Wednesday 17 September 2008

ปวดประจำเดือน

การปวดประจำเดือน
การปวดประจำเดือนเป็นอะไรที่ผมสงสารผู้หญิงอย่างสุดซึ้งจริงๆครับ เพราะมันเป็นความปวดที่ทรมานและน่าหวาดกลัว รู้ทั้งรู้ว่ามันต้องเจ็บทุกเดือนแต่ส่วนใหญ่ก็มักแก้ไขหลีกเลี่ยงอะไรไม่ได้ ไม่เหมือนโดนต่อยโดนตบที่ยังวิ่งหนีได้ การปวดประจำเดือนแยกคร่าวๆออกมาได้ดังนี้ครับ ปวดช่วงวันแรกๆ พอมาเยอะขึ้นก็หายปวด มักมีอาการท้องแน่นๆ คัดหน้าอกควบคู่ไปด้วย ให้ถามตัวเองว่าคุณเป็นคนอารมณ์เสียง่ายหรือเปล่า อ๊ะๆ อย่าหลอกตัวเองนะครับ อาการมันฟ้องอยู่ครับ จากที่บอกไปข้างต้นว่าตับเป็นตัวควบคุมเลือดและลมปราณพออารมณ์ไม่ดีลมปราณก็ จะเดินไม่คล่อง ลมปราณไม่เดิน เลือดก็เลยไม่เดินเพราะเหงาขาดเพื่อน อยู่ด้วยกันสองคนอบอุ่นดี แต่คนที่ไม่ดีคือตัวเราเองครับที่ต้องทนปวดประจำเดือนกันต่อไป ที่รพ.จีนทุกปีเวลาเอนทรานซ์จะมีนักเรียนหญิงมาหาหมอเรื่องประจำเดือนตลอด เลยครับ เครียดกันซะ ปวดหลังจากประจำเดือนจะหมดหรือหมดแล้ว มักจะไม่ปวดรุนแรงมาก จะมีอาการอ่อนเพลียควบคู่ อันนี้เกิดจากเลือดน้อยครับ อารมณ์เดียวกับหัวใจขาดเลือดแล้วจะเจ็บหน้าอก
การปวดประจำเดือนกับความเย็น ถ้าคุณปกติเป็นคนชอบกินน้ำเย็น น้ำแข็ง ไอติมนี่ของโปรด รักการว่ายน้ำ ใส่กระโปรงเปิดเข่าทำงานในห้องแอร์เย็นเจี๊ยบ เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่จะทำให้คุณต้องทนทรมาณกับการปวดประจำเดือนหากคุณ ยังไม่รีบแก้ไข นึกภาพง่ายๆหากเอาน้ำไปแช่ช่องฟรีซ น้ำก็จะแข็ง ไม่เคลื่อนไหว ประจำเดือนก็เหมือนกันครับ เลือดไหลเวียนไม่ดีก็ปวดเอาสิครับ เพราะอย่างนี้แหละครับนักกีฬาว่ายน้ำจึงมักมีอาการปวดประจำเดือน การลดความอ้วนกับประจำเดือน วันก่อนมีคนไข้คนนึงเป็นคนจีนสัญชาติแอฟริกันครับ คือหน้าตาเป็นคนจีนนะแหละ แต่ร่างกายเหมือนคนแอฟริกัน ผอมจนเห็นกระดูกอะครับ เธอมาหาหมอด้วยโรคประจำเดือนไม่มา ขอถามเพื่อนๆว่าพอจะเดาสาเหตุที่ประจำเดือนเขาไม่มาได้ไหมครับ ? ถู๊กกกกกกกกกก หรือเปล่า คนแบบเธอนั้นเราสามารถเรียกได้ว่า แกว่งเท้าหาเสี้ยนครับ อยู่ดีไม่ว่าดี ลดความอ้วนซะ พวกลดความอ้วนมากๆเนี่ยจะมีความคิดในใจอย่างนึงว่า ' ฉันยังอ้วนอยู่' แม้ว่าจะหุ่นได้รูปแล้วก็ตาม แรกๆก็ลดความอ้วนอยู่หรอก แต่พอลดเกินขีดจำกัด มันพาลไม่อยากอาหารเอาแล้วครับ ระบบการย่อยมันเละไปหมดแล้ว พอถึงตอนนี้จะยัดกินให้อ้วนเหมือนเดิมก็ไม่ได้แล้ว เพราะ 'ท้องไม่รับ' หุๆ แล้วพอลดความอ้วนมากๆเข้าจะเอาสารอาหารที่ไหนมาสร้างเลือดละครับ คนประเภทนี้ถ้าอยากให้ประจำเดือนมาปกติก็หันมากินข้าวเหอะครับ ไม่งั้นวันหลังจะ ' ไม่ได้ท้อง' นะครับ ' คือว่าเราเคยเครียดมากๆ เลยอะค่ะเป็นเวลาติดต่อกัน บางทีปวดหัวมาก ร้องไห้จนเกร็งหน้าท้องหายใจไม่ออกเลย แล้วประจำเดือนก็หายไป พอมันมาอีกที มันออกเป็น ก้อนเลือดสีดำ ๆ เลยอะค่ะ' นี่เป็นคำพูดที่เพื่อนผมคนนึงบอกเล่า ขออนุญาตนำมาใช้เพื่อการศึกษานะครับ เคสนี้บอกอะไรผมได้บ้าง หลังจากผมฟังคำบอกเล่านี้ ผมจะรู้ว่าคนไข้รายนี้
1. เธอเป็นคนที่เครียดง่าย อารมณ์แปรปรวนบ่อย เวลารักษาต้องเน้นที่ลมปราณตับ
2. การผิดปกติของประจำเดือนเกิดจากลมปราณติดขัด เลือดไม่เดิน เกิดเป็นเลือดคั่ง อุดตันทางเดินประจำเดือน ประจำเดือนเลยหายไป เนื่องจากเดือนที่แล้วประจำเดือนออกไม่หมด เป็นเลือดคั่งเก็บอยู่ข้างใน พอถัดมาอีกเดือนจึงเป็นก้อนเลือด สีคล้ำ
3. ควรสอบถามต่อไปว่าชอบกินของเย็นๆ หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เย็นๆหรือไม่ เพราะนั่นจะทำให้ประจำเดือนยิ่งแย่
4. เธอน่าจะไม่ค่อยอยากอาหาร เวลารักษาควรให้ยาจำพวกช่วยย่อยและบำรุงกระเพาะด้วย
5. เธออาจจะมีอาการเจ็บสีข้าง คัดหน้าอกเวลาประจำเดือนมาโดยเฉพาะวันแรกๆ สาเหตุเกิดจากลมปราณตับติดขัด
6. นอกจากการรักษาโดยการจ่ายยาแล้ว ยังควรจะพูดจา คุยกับคนไข้มากๆ ให้เขารู้สึกสบายใจ เพราะต้นเหตุของอาการนี้เริ่มมาจากใจเป็นอันดับแรก เนี่ยแหละครับ แค่ถามประจำเดือนคำถามเดียวผมก็รู้ได้มากขนาดนี้แล้ว โดยยังไม่ทันถามอาการอื่นๆเลย แล้วพอไล่ถามรายละเอียดว่าเป็นอย่างที่ผมคิดไหมคนไข้ก็จะตาลุกวาวจ้องผมกลับ เสมือนผมเป็นหมอดู ไม่ใช่หมอจีนแล้ว เพราะว่าแม่นเหลือเกิน
ข้อควรปฎิบัติเกี่ยวกับประจำเดือน
1. อย่าเครียด ลมปราณเดินไม่สะดวกผิดปกติไม่รู้นะเออ
2. อย่ากินของเย็นให้มากนัก
3. ใส่กางเกงไปทำงานเถอะ การที่หัวเข่าตากแอร์เรื่อยๆทำให้ปวดประจำเดือน

ขอบคุณข้อมูล จากเวบแปลนคะ

Thursday 11 September 2008

คุมกำเนิดกันดีกว่า ภาค 1

มีหลากหลายวิธี เยอะแยะ ไปหมด แต่วันนี้มาวิธีนี้กันดีกว่า
ต้องขอบคุณข้อมูล จากป้าก้อยและสาวๆๆ แห่งบ้านเด็กดิ้น ด้วยค้า

การคุมกำเนิดโดยใช้วิธีธรรมชาติ

ข้อดีของการคุมกำเนิดโดยวิธีธรรมชาติ
หลีกเลี่ยงการแพ้ยา แพ้ยางและย่าฆ่าเชื้อ sperm ท่านต้องเรียนรู้ถึงรอบเดือนและวันไข่ตก
เกี่ยวศาสนาห้ามคุมกำเนิดโดยใช้อุปกรณ์ก็สามารถใช้วิธีนี้อย่าง ได้ผล


ข้อด้อยของการคุมกำเนิดโดยวิธีธรรมชาติ
ไม่สามารถป้องกันโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์
คู่ครองต้องงดมีเพศสัมพันธ์ในช่วงไข่สุข อาจจะเกิดหงุดหงิด
ไม่ควรใช้ในผู้หญิงที่ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ


วิธีการคุมกำเนิดโดยวิธีธรรมชาติมีอะไรบ้าง

1. ห้ามร่วมเพศขณะที่ไข่ของผู้หญิงพร้อมที่จะปฎิสนธิ ิการที่จะทราบวันไข่ตกสามารถทราบโดยวิธีการดังนี้


- การนับวัน คุณผู้หญิงต้องเก็บสถิติประวัติประจำเดือน 12 เดือน แล้วนำรอบเดือนที่สั้นที่สุดลบด้วย 18 จะเป็นวันแรกที่ไข่พร้อมปฏิสนธิ นำรอบเดือนที่ยาวที่สุดลบด้วย 11 จะเป็นวันสุดท้ายที่ไข่พร้อมจะปฏิสนธิ ดังนั้นจึงไม่ควรที่จะมีเพศสัมพันธ์ในช่วงนี้ หรือจะใช้วิธีที่นิยมคือ 7วันหน้าและ7วันหลังรอบเดือนคือให้นับวันแรกของประจำเดือนเป็นวันที่1 ท่านสามารถร่วมเพศได้ตั้งวันที่1(คงติดช่วงมีประจำเดือน2-4 วันเหลือเวลาที่มีเพศสัมพันธ์2-3 วัน)ถึงวันที่7 และสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้อีกครั้งก่อนประจำเดือนจะมา 7 วัน การใช้วิธีนี้ประจำเดือนควรมาสม่ำเสมอ
- โดยการวัดอุณหภูมิ ปกติก่อนที่ไข่จะตกอุณหภูมิจะลดต่ำลงประมาณ 0.5 องศา ซ ไม่ควรจะมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อุณหภูมิเริ่มต่ำจนกระทั่งอุณหภูม ิขึ้นปกติแล้ว 2-3 วัน การวัดอุณหภูมิให้วัดตอนตื่นนอนทุกเช้า
- การสังเกตลักษณะตกขาว เมื่อไข่จะตกลักษณะตกขาวจะเปลี่ยนเป็นน้ำจำนวนมากซึ่งคุณผู้ช่า งสังเกตจะทราบ ไม่ควรร่วมเพศ3-4 วันตั้งแต่ตกขาวเริ่มมากและใสขึ้น
Symptothermal เป็นการใช้การนับวัน อุณหภูมิ และการสังเกตตกขาวทำให้เกิดความแม่นยำเพิ่มขึ้น
- Ovulation Indicator Testing Kits การใช้แทบตรวจฮอร์โมน luteinizing hormone (LH) ฮอร์โมนตัวนี้เป็นตัวกระตุ้นให้ไข่สุขซึ่งจะเริ่มขึ้น1-2วันก่อนไข่สุข หากร่วมเพศภายใน24 ชั่วโมงหลังจากฮอร์โมนขึ้นเพราะฉะนั้นควรจะงดร่วมเพศหลังจากฮอร ์โมน LH เพิ่ม4-5วันจึงจะป้องกันการตั้งครรภ์


2. coitus interruptusโดยการถอนอวัยวะเพศชายออกก่อนหลั่ง แต่ก็มีข้อต้องระวังคือน้ำหล่อลื่นของผู้ชายก็มีเชื้อ sperm ผสม และอาจจะเป็นการยากในการถอนอวัยวะเพศเมื่อใกล้หลั่งทำให้ประสบผ ลสำเร็จในการป้องกันการตั้งครรภ์ร้อยละ 70-80


3. การป้องกันการตั้งครรภ์โดยการล้างช่องคลอดหลังมีเพศสัมพันธ์ หรือยืนปัสสาวะหลังมีเพศสัมพันธ์ไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้

เอาไปลองใช้กันดูนะ ได้ผลอย่างไรบอกด้วยจ้า

Wednesday 10 September 2008

เล่นอะไรดี

พอ ดีไปเจอในแวบแปลน มาเลยเอามาแบ่งปันกันอ่านดีก่าเนาะ

คงดีไม่น้อยถ้าได้เปิดกว้างการเรียรรู้ผ่านการเล่น โดยไม่ต้องเสียตังซื้อของเล่น เพราะผมคนนึงละครับที่ ไม่ชอบซื้อพวกของเล่นให้ลูกเท่าไหร แต่ถ้าทำเองละก็ถึงไหนถึงกันครับ 2 ขวบแล้วจ้า เล่นอะไรกันดี การเล่นของเด็กวัยนี้ พัฒนาจากการเล่นเดี่ยว ไม่ค่อยสนใจใคร หรือเล่นกับเพื่อนได้แป๊บเดียว สู่การเล่นกับเพื่อนมากขึ้น รู้จักการแบ่งปัน กิจกรรมสำหรับเด็กวัยนี้ ควรเน้นพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก กล้ามเนื้อมัดใหญ่ และการสร้างปฏิสัมพันธ์โดยการเล่นกับพ่อแม่ พี่เลี้ยง หรือเพื่อนๆ มากขึ้น Growing Up ฉบับนี้ มีกิจกรรมสนุกๆ เล่นได้ทั้งครอบครัว ทั้งหมด 7 กิจกรรมด้วยกัน

1. แมงมุมขยุ้มหลังคา
เกมนี้ คุณพ่อคุณแม่เล่นกับลูกโดยเริ่มจากการจีบมือทั้งสองข้าง แล้วคว่ำมือลงข้างหนึ่งจับบนหลังมืออีกข้างหนึ่ง จากนั้น เอามือทั้งสองข้างของตัวเองที่จับต่อกันไว้ และจับมือคนอื่นๆ ด้วย ซึ่งข้างล่างสุดอาจเป็นมือคุณพ่อ ถัดขึ้นมาก็เป็นคุณแม่ และเจ้าตัวเล็กจับอยู่ด้านบนสุด ระหว่างที่เล่นร้องเพลง ”แมงมุมขยุ้มหลังคา แมวกินปลา หมากัดกระพุ้งแก้ม” พร้อมกับเขย่ามือขึ้นลง

2. ปูไต่
ชวนจั๊กจี๋ ให้ลูก ชู้นิ้วชี้กับนิ้วกลางขึ้นมาเป็นรูปตัววี จากนั้น คว่ำมือลง แล้วทำท่าเหมือนคนก้าวขาเดิน จะลองเดินไปข้างหน้า เดินถอยหลัง เดินข้ามเครื่องกีดขวาง ก้าวยาวบ้าง สั้นบ้าง หรือจะลองไต่ไปตามร่างกาย แขน ขา ไหล่ พร้อมกับเรียกชื่ออวัยวะนั้นๆ ด้วย ก็ยิ่งสนุก แถมยังได้รู้จักอวัยวะของร่างกายมากขึ้นด้วย

3. หุ่นนิ้ว กระดุ๊กกระดิ๊ก
เกมนี้ต้องมีตัวช่วย ก่อนอื่นคุณแม่ต้องทำหุ้นนิ้วเป็นรูปต่างๆ หลักง่ายๆ ก็คือ ต้องทำให้หุ่นตัวนั้นๆ สวมนิ้วมือได้ วัสดุที่ให้อาจจะเป็นกระดาษม้วนเป็นวงกลม แล้วลองสวมนิ้วมือของเจ้าตัวเล็กดูก่อน ส่วนที่ว่าจะทำเป็นรูปอะไรดี อาจเริ่มจากตัวการ์ตูนในนิทานที่เคยอ่านกันเป็นประจำ ลองวาดเป็นรูปง่ายๆ ให้เจ้าตัวเล็กช่วยระบายสี นำไปติดเข้ากับกระดาษที่ม้วนไว้ แค่นี้ก็ได้ตัวละครในนิทานเรื่องโปรดมาโลดแล่นอยู่บนนิ้วมือ ทำหลายๆ แบบ หลายๆ ตัว นำมาเล่าประกอบนิทาน หรือสร้างสรรค์เป็นนิทานเรื่องใหม่ ขึ้นมาก็ได้ตามจินตนาการ
4. ฉันเป็นใครเอ่ย?
อุปกรณ์ที่เป็นตัวเสริมเพื่อให้เล่นได้สนุกมากยิ่งขึ้น อาจไม่จำเป็นต้องซื้อหาราคาแพง เป็นวัสดุเหลือใช้ที่มีอยู่ในบ้าน นำมาปรับแต่ง เช่น เสื้อผ้าที่ไม่ใช้แล้วนำมาดัดแปลงเป็นเสื้อผ้าตุ๊กตา แล้วเล่นเป็นพ่อ แม่ ลูก เล่นเป็นพยาบาลกับคนไข้ หรือเล่นไปจ่ายตลาด คุณพ่อคุณแม่จะเล่นด้วย หรือให้ลูกชวนเพื่อนวัยเดียวกันมาเล่นด้วยก็ยิ่งดีเลยค่ะ เพราะเด็กจะได้เรียนรู้การเล่น ร่วมกับผู้อื่น ฝึกการคิด การตัดสินใจ และการรู้จักแบ่งปัน
5. ลากจูง เดินทาง (ไม่) ไกล
เมื่อพูดถึงของลากจูงต้องนึกถึงวงล้อที่หมุนเคลื่อนที่ได้ หากมีของเล่น หรือรถที่ลากเล่นได้อยู่แล้ว ก็อาจจะลองเปลี่ยนบรรยากาศไปเดินเล่นตามสวนสาธารณะ สนามเด็กเล่นบ้าง แต่ถ้าเด็กๆ คนไหนที่อยากได้ของเล่นชิ้นใหม่ คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยเด็กๆ ประดิษฐ์ได้ง่ายๆ จากของเหลือใช้ภายในบ้าน โดยใช้หลอดด้าย หรือใช้ฝากระป๋องหรือขวดที่มีขนาดเท่ากัน 2 อัน เจาะรูตรงกลาง สอดหลอดพลาสติกเข้าไปเชื่อมฝาขวดทั้ง 2 อัน ติดกาวหรือมัดด้วยเชือกให้แน่น จากนั้น สอดแท่งไม้เข้าไปตรงกลางแกนหลอดพลาสติก หรือหลอดด้าย ผูกเชือกที่ปลายแกนไม้ทั้งสองข้าง อาจตกแต่งให้สวยงาม ประดิษฐ์ให้เป็นรูปรถ ตุ๊กตาแบบมีล้อหมุนก็ได้ 6.กระโดด ปีนป่าย และยืนกระต่ายขาเดียว จัดพื้นที่ที่ปลอดภัยภายในบ้าน ให้เด็กได้ปีนป่าย หรือเล่นเกมกระโดดข้ามเครื่องกีดขวางโดยนำผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัวมาเป็นลู่วิ่ง และเครื่องกีดขวางให้เด็กได้กระโดดข้าม วิ่งหลบหลีก หรือถ้าเล่นกันจนเหนื่อยแล้ว ก็ลองเล่นยืนกระต่ายขาเดียวแข่งกัน

7. เตะบอลหรรษา
วันว่างในช่วงสุดสัปดาห์ ขณะที่คุณพ่อคุณแม่พาเด็กๆ หรือเพื่อนๆ ของลูกไปตามสนามเด็กเล่น สวนสาธารณะใกล้บ้าน นำลูกบอลและตะกร้าติดมือไปด้วย ชักชวนเด็กๆ เล่นสนุกได้ตั้งแต่การเตะบอล ขว้างลูกบอลแล้ววิ่งหลบ โยนบอลไปมา และโยนลูกบอลลงตะกร้า นอกจากจะได้ออกกำลังกาย เสริมพัฒนาการแล้ว ยังได้สูดอากาศบริสุทธิ์และสร้างความสัมพันธ์อันดีใน ครอบครัวอีกด้วย

ลองเอาประยุกต์ใช้กันดูนะจ๊ะ

Tuesday 9 September 2008

“ไม่ค่อยมีน้ำนมแม่”

ทำไมน๊า ถึงไม่ค่อยมีน้ำนม ทั้งที่คุณหมอ และผู้เชี่ยวชาญต่างบอกตรงกันว่า น้ำนมแม่ดีที่สุด และเป็นเรื่องที่คนเป็นแม่ก็รู้ดี ไม่มีใคร ปฏิเสธว่าน้ำนมแม่ไม่ดีแต่ ทำไมคุณแม่ยุคนี้มักบอกว่า “ไม่ค่อยมีน้ำนม”คุณแม่จำนวนไม่น้อยที่ให้นมแม่มาระยะหนึ่ง ก็ต้องเลิกราไป หันไปพึ่งนมผง
ปัญหาก็คือ คุณแม่ยุคสมัยนี้มักเป็นผู้หญิงทำงานกันซะส่วนใหญ่ ทำให้ไม่สามารถจะให้นมแม่อย่างจริงจัง และต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเพราะขาดความรู้ความเข้าใจที่เหมาะสม และความไม่สะดวกทั้งหลายในการปั๊มนมในที่ทำงาน ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จในการให้นมแม่ อีกทั้งยังมีนมผงสารพัดยี่ห้อที่เข้ามาโฆษณาชวนเชื่อ มีแผนการตลาดที่แยบยล เย้ายวน คนเป็นแม่จนเขว และในที่สุดก็ไม่สามารถที่จะให้นมแม่อย่างต่อเนื่อง ก็เลยต้องตกเป็นเหยื่อของนมผง ในที่สุด นมแม่ก็ค่อยๆ แห้งเหือด และกลายเป็นปัญหาว่า “ไม่ค่อยมีน้ำนมแม่” นั่นเอง
แท้จริงแล้ว ถ้าคนเป็นแม่มีความมุ่งมั่นอดทน และตั้งใจในการที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวล่ะก็ โอกาสประสบความสำเร็จสูงมาก การให้นมแม่จะไปด้วยดี คือการปฏิบัติตัว และสิ่งสำคัญที่สุดคือ การรับประทานอาหาร ที่ต้องมีความใส่ใจ และมีความรู้ จึงจะทำให้อาหารที่เรารับประทานเข้าไป สามารถเรียกน้ำนมแม่ได้เพิ่มมากขึ้น เรื่องการปฏิบัติตัวก็คือ หลังจากที่เพิ่งคลอดได้ไม่นาน คุณแม่ต้องพยายามให้นมลูกในทันที ให้บ่อยๆ ให้สม่ำเสมอ ช่วงแรกๆ อาจจะไม่ค่อยมี ก็ขอให้อดทนให้ต่อไปเรื่อยๆ เพราะจะเป็นการกระตุ้นต่อมน้ำนมซึ่งน้ำนมช่วงแรกที่เป็นสีเหลืองเรียกว่า คลอลอสตรัม เปรียบเสมือนเป็นหัวน้ำนมที่จะช่วยสร้างภูมิต้านทานให้กับลูก ถือเป็นการสร้างภูมิต้านทานที่ดีที่สุดชนิดที่ไม่ต้องให้ลูกเจ็บตัวอีกต่างหาก คุณแม่บางท่านค่อนข้างเป็นห่วงกังวลเรื่องหน้าอก บางคนหน้าอกเล็กกลัวไม่มีน้ำนม บางคนก็หัวนมบอดก็บอกว่าให้นมลูกได้ แท้จริงแล้วขนาดไม่ใช่อุปสรรคและประเด็นสำคัญ อยู่ที่ขนาดของหัวใจของคนเป็นแม่มากกว่าว่ารักลูกมากแค่ไหน คนนมเล็กแต่ถ้ามีวิธีการปฏิบัติตัว และความรู้ในการให้นมลูก รู้จักวิธีการกระตุ้นที่จะให้มีน้ำนม ก็สามารถประสบความสำเร็จได้ ส่วนคนที่หัวนมบอดก็ปรึกษาคุณหมอ หรือผู้เชี่ยวชาญ หรือศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ก็ได้ สำหรับคนเป็นแม่ที่อยากให้นมลูก มีวิธีแก้ไข และสามารถปฏิบัติได้ด้วยตัวเองอีกต่างหาก อย่าไปคิดมาก หรือกลุ้มอกกลุ้มใจ กลัวนั่นกลัวนี่ ตัดความกังวลทุกๆ เรื่องออกไป ทำใจให้สบาย ไม่เครียดกับเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น เพราะความเครียดก็เป็นตัวหนึ่งที่ทำให้น้ำนมมีน้อยและลดลง แล้วลองเปลี่ยนความกลัว กังวลเป็นความตั้งมั่นที่จะให้นมลูกให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คิดว่าเรามีนมมากมายเหลือเฟือ พอสำรับลูก รับรองมีน้ำนมแน่ๆ ส่วนเรื่องอาหาร ก็ต้องให้ความสำคัญเหมือนกัน มีวิธีปฏิบัติตัวแบบง่ายๆ คือ

หนึ่ง - รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นที่สด ปรุงสุก สะอาด และปลอดภัย ไม่ต้องกลัวอ้วนหรอกค่ะ กินได้ก็กินเข้าไปให้เต็มที่ แต่อย่าทานรสจัดนะ อดใจไว้หน่อย แล้วท่องเอาไว้ในใจว่าเรากินอะไรเข้าไป ลูกก็ได้อย่างนั้น
สอง - ดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ เน้นว่าน้ำอุ่นเท่านั้น สำคัญมาก อย่าดื่มน้ำเย็น และควรงดบรรดาน้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ แล้วท่องเอาไว้ในใจว่าเราดื่มอะไรเข้าไป ลูกก็ได้อย่างนั้น
สาม – เลือกรับประทานอาหารประเภทกระตุ้นน้ำนม หรือเร่งน้ำนม หรือเพิ่มปริมาณน้ำนมแม่นั่นแหละค่ะ เมนูสุดฮิตและมักได้ผลต้องยกให้ แกงเลียงหัวปลี อีกหนึ่งเมนู คือ หมูผัดขิง หรือไก่ผัดขิง รวมถึงสารพัดเมนูขิงทั้งหลาย หรือเมนูปลานึ่งที่ใส่ขิงด้วย แต่ขอให้รับประทานตอนร้อนๆ เพราะจะช่วยเร่งน้ำนมได้ดี อาหารต่างๆ เหล่านี้ คุณแม่สามารถรับประทานได้ตั้งแต่ตอนตั้งครรภ์ ถือเป็นการเตรียมความพร้อมไว้ก่อน
เรื่องการให้นมแม่ ใครว่าไม่สำคัญ ในอดีตแม่ของเราก็เลี้ยงพวกเรามาด้วยนมสองเต้านี่แหละ เมื่อได้นมแม่ที่เป็นอาหารคุณภาพเยี่ยม และมีความรักที่เต็มหัวใจ ความผูกพันที่เปี่ยมล้นระหว่างแม่ลูก ก็เท่ากับเป็นการสร้างภูมิต้านทานทางใจได้อีกด้วย เมื่อคนเรามีความรักก็อยากจะปันความรักไปสู่ผู้อื่น ใช่ไหมละ งั้นก็พยายามกันต่อไปน้า

Monday 8 September 2008

นมแม่ ภาคสอง

"นมแม่" อย่างเดียว !! ทำไมต้อง 6 เดือน ???6 เดือน ดีกว่า 4 เดือนอย่างไร
หากคุณแม่ให้ลูกกินนมแม่อย่างเดียวนาน 6 เดือนเต็ม จะมีผลดีกับลูกและแม่มากกว่าให้กินแค่ 4 เดือน ดังนี้
1. ลูกได้อาหารไปเลี้ยงสมองที่เหมาะสมและนานขึ้น เพราะถ้าเทียบระหว่างนมแม่ ข้าวและกล้วย นมแม่จะมีคุณภาพดีกว่า
2. ลูกจะมีอาการท้องเสีย และมีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจน้อยกว่า มีข้อมูล เด็กที่กินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน มีโอกาสท้องเสียและปอดบวม น้อยกว่า เด็กที่ได้นมแม่อย่างเดียว 4 เดือน ประมาณ 2-3 เท่า เมื่อเทียบกับเด็กที่ไม่ได้นมแม่อย่างเดียว ที่ รพ. สวรรค์ประชารักษ์ ศึกษาพบว่า แม้ให้นมแม่อย่างเดียวเพียง 4 เดือน ทารกมีท้องเสียเพียง 1% แต่ถ้ากินข้าวหรือนมผสมด้วย ท้องจะเสียเพิ่มขึ้นเป็น 15% การให้กินนมแม่อย่างเดียวนานถึง 6 เดือน ก็เหมือนเป็นการเลื่อนโอกาสเกิดท้องเสียออกไป
3. ทำให้คุณแม่ไม่ขาดธาตุเหล็ก เพราะมีระยะปลอดประจำเดือนนานขึ้น แต่ก็มีคุณแม่หลายท่านกังวลว่า ให้ลูกกินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนจะทำให้ลูกขาดธาตุเหล็กหรือไม่ จากการศึกษาพบว่าหากคุณแม่มีสุขภาพดี น้ำนมแม่ก็จะมีธาตุเหล็กที่เพียงพอ โดยร่างกายของลูกจะสามารถดูดซึมธาตุเหล็กจากน้ำนมแม่ได้ถึง 50% แต่ถ้ากินอาหารเสริม เช่น ข้าวและกล้วยด้วย จะทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กในนมแม่ลดลงเหลือเพียง 10% เท่านั้น
4. ทำให้คุณแม่มีน้ำหนักลดลงหลังคลอดได้เร็วกว่า
5. ในขณะที่ลูกกินนมแม่ จะได้รับอ้อมกอดคุณภาพวันละ 8-10 ครั้ง ลูกน้อยจะได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รับรส ได้รู้การเคลื่อนไหว ช่วยกระตุ้นโครงข่ายเส้นใยประสาท เชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมอง ถ้าไม่มีสัมผัสคุณภาพสมองจะเสียการโยงใยระหว่างเซลล์สมองต่อกัน และฝ่อไปอย่างน่าเสียดาย
6. เด็กที่กินนมแม่ป่วยด้วยโรคทั่วไป น้อยกว่าเด็กที่กินนมผสม 2 ถึง 7 เท่า ทำให้เด็กมีพัฒนาการและการเจริญเติบโตได้ดี โดยพบว่าเด็กที่กินนมแม่อย่างเดียวอย่างเต็มที่ นาน 6 เดือน มีกราฟการเจริญเติบโตเต็มที่และอยู่ในเกณฑ์ปกติค่ะ

น้ำนมแม่จะพอให้ลูกกินถึง 6 เดือนหรือไม่
จากการศึกษาเมื่อปี พ.ศ.2518 พบว่าปริมาณน้ำนมของแม่ไทยมีน้อยกว่า เมื่อเทียบกับรายงานของแม่ที่ให้ลูกกินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนของต่างประเทศ ซึ่งน่าจะเป็นผลจาก แม่ไทยระยะนั้น ไม่ได้ให้ลูกกินนมแม่อย่างเดียว คือให้อาหารอื่นร่วมด้วย ย่อมมีผลให้การสร้างน้ำนมของแม่น้อยลง
ซึ่งจากข้อมูลของต่างประเทศพบว่า ในระยะ 6 เดือนแรกถ้าให้นมแม่อย่างถูกต้อง คือให้ลูกได้แต่นมแม่อย่างเดียวจริงๆ แม่จะสร้างน้ำนมปริมาณมาก เพียงพอสำหรับลูกถึงอายุ 6 เดือน โดยพบว่าสามารถสร้างได้ถึง ประมาณ 800-850 ซีซี ทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้ว และประเทศที่กำลังพัฒนา
ดังนั้นหากคุณแม่จัดอาหารอื่นให้ลูกกินด้วย เขาก็จะดูดนมน้อยลง ซึ่งจะทำให้น้ำนมของคุณแม่น้อยลงด้วยเช่นกันค่ะ แต่ถ้าคุณแม่ให้ลูกกินนมอย่างเต็มที่และสม่ำเสมอ ระบบการสร้างน้ำนมก็จะยังทำงานอยู่ และคุณแม่ก็จะมีน้ำนมเพียงพอต่อความต้องการของลูกตลอด 6 เดือนแน่นอนค่ะ
ก็มีข้อยกเว้นเหมือนกันนะคะ ถ้าคุณแม่ให้นมแม่แก่ลูกอย่างเดียว สังเกตว่าลูกเติบโตไม่ดีเท่าที่ควร ที่เป็นผลจากน้ำนมแม่ไม่พอ มีเหมือนกันค่ะ ที่ทำอย่างไร อย่างไร น้ำนมแม่ก็ไม่พอ กรณีพิเศษแบบนี้ ขอให้ปรึกษาแพทย์ พยาบาลคลินิกนมแม่ใกล้บ้านก่อนนะคะ อย่าเพิ่งรีบร้อนให้นมผสม หรืออาหารอื่นไปก่อน
ได้ทราบความแตกต่างและข้อดีของการที่ลูกได้กินนมแม่แล้ว ลองมาช่วยกันดูนะคะว่าลูกเราได้รับนมแม่อย่างถูกต้องหรือเปล่า คือในระยะ 6 เดือนแรกให้นมแม่อย่างเดียว หลังจากนั้นจึงเริ่มให้อาหารอื่น ควบคู่กับนมแม่ จนลุกอายุ 1-2 ปี ไม่ได้หยุดให้นมแม่แค่ 6 เดือนแรกนะคะ